4 เหตุผลที่ควรกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ


สัปดาห์ที่แล้วพูดถึง การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ วันนี้ ขอมาเชียร์ต่อว่าทำไม เราจึงควรกระจายการลงทุนสู่ต่างประเทศ

เพื่อนๆ บางท่านอาจจะกังวัล ว่าไกลตัว ข้อมูลก็หายากและภาษาอาจจะเป็นกำแพง หรือสามารถทำได้อย่างไรบ้าง มาเริ่มกันเลยนะครับ

1️⃣ กระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศที่มีการเติบโต
ขอยกตัวอย่างในช่วงที่เราเห็นได้ชัดเจนสุด คือ ช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 แทบจะทุกสินทรัพย์ที่มีในทุกตลาดมีการปรับตัวลดลง โดยถ้าอ้างอิงผลตอบแทน SET Index ปรับตัวลงมาราว -35 % ในช่วง ม.ค.- มี.ค. แต่ดัชนี MSCI World ปรับตัวลง -27 % เห็นได้ชัดเลยว่า ตลาดโลกปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นไทยในสถาณการณ์วิกฤตเดียวกัน

2️⃣ New economy ที่ไทยยังไม่มี
ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เพื่อนๆ นักลงทุนเข้าใจก่อนว่าเจ้า New economy คืออะไร

New economy คือ ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งที่เราเข้าใจง่ายๆ คือ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ถ้าหากเรากวาดตาดูในตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า เรายังไม่มีหุ้นกลุ่มที่เป็นผู้ทางด้านนวัตกรรมในไทยเลย มีเพียง Old economy คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มการเงิน ถ้าหากมองไปในอนาคต 3-5 ปี ข้างหน้า New economy จะเป็นกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ในอนาคต และยังยากที่จะหาอะไรมาทดแทนได้ และถ้าหากเราคาดหวังให้ในประเทศเรามี New economy อาจจะใช้เวลานานกว่าจะมีการปรับตัวจาก Old economy ไปสู่ New economy เราจึงควรกระจายการลงทุนไปสู่ต่างประเทศ

3️⃣ ความหลากหลายของทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุน
ตลาดต่างประเทศจะมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่น่าสนใจ คือ ETF (Exchange Trade Fund) เป็นกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อขายได้เหมือนหุ้นซึ่งข้อดีของ ETF นั้น เราสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น มีการกระจายการลงทุนเหมือนกองทุน และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อหุ้นรายตัว ซึ่ง ETF ในตลาดต่างประเทศมีความหลากหลาย เช่น ถ้าหากเราสนใจในการลงทุนธุรกิจ E-commerce เราสามารถเลือก ETF ที่รวบรวมธุรกิจ E-commerce โดยไม่จำเป็นจะต้องเลือกหุ้นรายตัวได้เลย

4️⃣ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในการลงทุน
ถ้าหากเราลงทุนกระจุกตัวอยู่เพียงตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนตั้งแต่เดือนมีนาคม 63 ถึง มีนาคม 64 ผลตอบแทนของ SET Index อยู่ที่ 38.6% แต่ถ้าหากเราเลือกลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี Dow Jones Index ผลตอบแทนอยู่ที่ 76.7% เห็นได้ชัดเลยนะครับว่า การฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต COVID-19 ในระยะเวลาที่เท่ากัน ดัชนี Dow Jones Index มีการฟื้นตัวมากกว่า SET Index

ปัจจุบันนี้ นักลงทุนไทยมีทางเลือกกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ ทั้งผ่านกองทุนรวมต่างๆ หรือลงทุนหุ้นรายตัวหรือ ETF โดยตรงก็ได้ ซึ่งใช้เงินเริ่มต้นไม่สูงนัก สำหรับใครที่ยังเป็นมือใหม่หรือไม่เชี่ยวชาญติดตามข้อมูลต่างประเทศตลอดเวลา แนะนำเริ่มต้นด้วยกองทุนรวมดีกว่าครับ ส่วนหุ้นรายตัวหรือ ETF เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ลงทุนมาพอสมควรแล้ว ซึ่งทั้ง 2 บริการสามารถลงทุนผ่าน บล.ฟิลลิป ได้เลยครับ

ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ


✅ อยากลงทุน? เปิดบัญชีลงทุนกับหลักทรัพย์ฟิลลิป เปิดบัญชีได้ 3 ช่องทาง ดังนี้

  1. เปิดบัญชีออนไลน์  >> คลิ๊กเปิดบัญชีออนไลน์
  2. ดาวน์โหลดเอกสารเปิดบัญชี >> คลิ๊กดาวน์โหลด
  3. ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ โทร. 089-199-3466

สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ
นาย สุรัตน์ สดงาม ผู้แนะนำการลงทุน
ใบอนุญาตเลขทะเบียน IC: 083680

🆔 LINE: http://line.me/ti/p/~naimoo
📱089-199-3466 🌐 www.yak.guru
#กองทุนประกันความ #ยักษ์กูรู


#Disclaimer

  • วัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น มิได้จัดทําขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุน
  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือภาษีก่อนตัดสินใจ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • การลงทุนมีความเสี่ยงสูงที่อาจทําให้เกิดความสูญเสียจากการซื้อขาย ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเหมาะสมในการลงทุน โดยคํานึงถึงประสบการณ์ในการลงทุน วัตถุประสงค์ในการลงทุน แหล่งเงินทุน และรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

#กองทุนรวม #ออมกองทุน #ออมหุ้น
#FundSuperMart #หลักทรัพย์ฟิลลิป
#YAKGURU #YAKinvest #ยักษ์กูรู

Previous โลกการเงินของคนแต่ละวัย ต่างกันอย่างไร?
Next 4 กองทุนแรก สำหรับมือใหม่!

No Comment

Leave a reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *